สรุป การวัดค่าความแข็งแรงของดิน

การวัดค่าความแข็งแรงของดิน
ในการวัดค่าความแข็งแรงของดินด้วยการวัดค่าแรงเฉือน จากทั้งสามวิธีข้างต้น จะกระทำที่ค่า Normal Stress ต่างๆ กัน ค่าความเค้นเฉือนที่ทำให้ดินเริ่มวิบัติตัวจะถูกนำมาเขียนกราฟเทียบกับค่า Normal Stress ( σ ) ในช่วงต่างๆ กันดังภาพที่ 1.1 เมื่อจุด A1 , A2 , A3 เป็นค่าจากการทดสอบแต่ละครั้ง
กราฟที่ได้จะเป็นเส้นตรงหรือโค้ง ค่าความลาดชันของเส้นกราฟก็คือค่ามุมเสียดทานภายใน ( Φ ) จุดตัดบนแกน Maximum Shearing Stress คือแรงเกาะยึดระหว่างอนุภาคเม็ดดินด้วยกัน ( Cohesion Force, C ) ซึ่งแสดงในรูปสมการที่ 1

τ = C + σ tan ( Φ ) .............. ( 1 )
เมื่อ τ = ค่าความเค้นเฉือน
σ = Normal Stress
C = แรงยึดกันระหว่างอนุภาคเม็ดดิน
Φ = ค่ามุมเสียดทานภายใน
จากสมการที่ 1.1 เป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า การวิบัติตัวเนื่องจากแรงเฉือนมีค่าพารามิเตอร์ 2 ตัวคือ C และ Φ ในดินชนิดต่างๆ กัน ผลจากการทดสอบจะทำให้ได้กราฟที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป ดังภาพที่ 1.2



ภาพที่ 1.1 กราฟแสดงค่าพารามิเตอร์ที่ทำให้ดินเกิดการวิบัติด้วยแรงเฉือน



ภาพที่ 1.2 กราฟแสดงค่าพารามิเตอร์ที่ทำให้ดินเกิดการวิบัติตัวในดินชนิดต่างๆ

ความหมายของความแข็งแรงของดิน
ความแข็งแรงของดินเป็นความสามารถของอนุภาคเม็ดดิน ในสภาวะที่สามารถต้านทานต่อแรงกระทำ ความแข็งแรงของดินอาจให้ความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสามารถของดินที่จะต้านทานต่อการเปลี่ยนรูป หรือความเครียด
ความแข็งแรงของดินจะเปลี่ยนไปเมื่อถูกแรงกระทำ ซึ่งจะทำให้อนุภาคของเม็ดดินเกิดการเคลื่อนที่ ในการทำนายถึงค่าความแข็งแรงของดิน จากการทดสอบในสนามด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ กับดินชนิดเดียวกันแต่ต่างสถานที่กัน พบว่าจะให้ค่าความแข็งแรงแตกต่างกันออกไป เนื่องจากว่าดินจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะไปตามเวลา ซึ่งเป็นผลจากสภาพดินฟ้าอากาศ

การวัดค่าความแข็งแรงของดิน
ในการวัดค่าความแข็งแรงของดิน จะเป็นการประเมินค่าพารามิเตอร์ 2 ค่า คือ แรงเกาะยึดกันระหว่างอนุภาคเม็ดดินด้วยกัน ( Cohesive Force , C ) และค่าความต้านทานการเสียดทาน ( Friction Resistance , Φ ) ซึ่งเป็นผลจากการเลื่อนตัวของดิน ในการวัดค่าความแข็งแรงของดินสามารถวัดได้ด้วยวิธีต่าง ๆ กันดังนี้
1. Translational Shearing Box
เป็นการวัดโดยตรง ด้วยการใช้อุปกรณ์ที่สามารถควบคุมพื้นที่ผิวการแตกตัวของดินได้ ( Failure Surface )
จากภาพเคลื่อนไหวที่ 4.1 แสดงให้เห็นการวิบัติตัวเนื่องจากแรงเฉือน (Shear Failure) ในดินอ่อนและดินแข็งตามลำดับ โดยที่ระยะทางการเคลื่อนที่ไปของเครื่องมือทดสอบและการเปลี่ยนรูปของดินทั้ง สองชนิด จะไม่เหมือนกันและการกระจายตัวของความเค้นตามแนวพื้นผิวที่ถูกแรงเฉือนจะไม่ เท่ากัน และค่าความเครียดตามแนวผิวของการวิบัติตัวจะไม่สม่ำเสมอ








สรุป


การถล่มของดินลาดเขาเป็นพิบัติภัยที่มีสาเหตุหลักจากฝนตกหนัก
และเป็นสาธารณะภัยที่ทำความเสียหายให้ชีวิตและทรัพย์สินของ
ประชาขนทางด้านท้ายน้ำมีแน้วโน้มจะมากขึ้นทุกปี ทั้งนี้เพราะมีการ
เปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินและราษฎรเข้ามาปลูกสร้าง
บ้านเรือนในบริเวณทางน้ำและโคลนไหลผ่าน ความรู้ทางด้านปฐพี
กลศาสตร์ของดินไม่อิ่มตัวโดยเฉพาะด้านความแข็งแรงและการไหล
ซึมของน้ำผ่านมวลดินเป็นพื้นฐานสำคัญในการนำไปวิเคราะห์เตือน
ภัยยังมีผู้ศึกษาวิจัยน้อยมากสำหรับดินในประเทศไทย การเก็นตัว
อย่างของดินไม่อิ่มตัวและการทดสอบในห้องปฏิบัติการจะต้องมี
เทคนิคพิเศษเพื่อควบคุมความชื้นของมวลดินในช่วงต่างๆเพื่อให้ได้
ค่าความแข็งแรงของดินที่มีการแปรผันไปตามความชื้นดังกล่าว ผล
ของการทดสอบของดินจากพื้นที่ต้นน้ำ ต.น้ำก้อ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์
พบว่ามีความสัมพันธ์ของกำลังรับแรงเฉือนแปรผันตามหน่วยแรงตั้ง
ฉากและความอิ่มตัวของน้ำในมวลดิน สามารถเขียนได้เป็นสมการ
ระนาบ และยังสามารถนำไปคำนวณวิเคราะห์พร้อมกับการไหลซึม
ของน้ำจากความเข็มของฝนในรูปแบบต่างๆสร้างเป็นขอบเขตน้ำฝน
วิกฤตที่สามารถใช้ในการเตือนภัยต่อไปได้

ขอขอบคุณข้อมูลที่ดีจาก

www.dpt.go.th/soil
www.dur.ac.uk/
www.deaw12.exteen.com
www.budmgt.com
www.courseware.rmutl.ac.th/courses/51/unit404.htm#pict02

ข้อมูลหลุมเจาะสำรวจชั้นดิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี(ชุด 1.2)

ข้อมูลหลุมเจาะสำรวจชั้นดิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี(ชุด 1.2)

1.2 โครงการก่อสร้างสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตำบล- อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (จำนวนหลุม 10 )




  • Summary of Result BH-1.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)




  • Summary of Result BH-1.2
(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)




  • Summary of Result BH-2.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)




  • Summary of Result BH-2.2

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)




  • Summary of Result BH-3.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-4.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-5.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-6.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-7.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-8.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-8.2

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-9.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)





  • Summary of Result BH-10.1

(คลิ๊กที่รูปเืพื่อดูรูปขยาย)




รายละเอียดชั้นดิน โครงการก่อสร้างสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตำบล- อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (จำนวนหลุม 10 )

รายละเอียดชั้นดิน โครงการก่อสร้างสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตำบล- อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (จำนวนหลุม 10 )

รายละเอียดชั้นดิน


สรุปผลโครงการ โครงการก่อสร้างสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตำบล- อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (จำนวนหลุม 10 )

สรุปผลโครงการ โครงการก่อสร้างสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตำบล- อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (จำนวนหลุม 10 )


Taylor's Chart

Taylor's Chart

lope stability concepts

If there are loading outside the toe that prevent the circle from passing below the toe, the long dashed curved should be used to determine the developed cohesion. Note that the solid and the long dashed curves converge as n approaches zero. The circle represented by the curves on the left of n = 0 does not pass below the toe, so the loading outside the toe has no influence on the developed cohesion.
Taylor's Chart

Stability assessments of earth slopes require limit state calculations,
which differ significantly from those in structural engineering.
This is because the weight of the soil constitutes the main
load on slopes, yet it contributes to forces both resisting and driving
the collapse. These forces depend on the mode of failure and
the particular geometry of the failure mechanism. Consequently,
the safety factor cannot be defined as a ratio of the limit load to
the working load ~both being ill-defined for slopes!, but is usually
defined as a function of the strength of the soil. Typically, the
strength of the soil is described by the Mohr–Coulomb yield condition
as a function of the cohesion, c, and the internal friction
angle, w. A common definition of the factor of safety ~F! is the
ratio of the shear strength of the soil to the shear stress necessary
to maintain limit equilibrium


Taylor's stability chart is the main tool used for engineering analysis of simple homogeneous slope stability problems. It is likely that this situation will continue in the future. One of the main deficiencies of Taylor's original presentation is that it does not provide a convenient, general tool for establishing the critical slip circle associated with a given stability problem. Critical circles define the extent of the potentially unstable zone, and this information is quite useful in many practical situations. The present work completes Taylor's classical investigation of stability of homogeneous slopes, and presents the tools necessary in order to establish not only stability numbers (safety factors), but also critical slip circles associated with those numbers. The information defining critical slip circles is presented in a simple chart form which is convenient for practical applications.

หาการวิบัติของ slopeชั้นดินและ slopeชั้นหิน

หาการวิบัติของ slopeชั้นดินและ slopeชั้นหิน

มวล ดินหรือหินมีชนิดของการพังทลาย (lype of failure) แตกต่างกัน ทังนี้เพราะการกําเนิด ลักษณะ ของโครงสร้าง และความเชือมแน่นของดินและหินแตกต่างกัน

การเคลื่อนตัวลงสี่ ต่ําของมวลดินและหินตามไหล่เขาหรือไหล่ถนนอย่างทันทีทันได ในช่วงระยะ เวลาสั้นๆ ในเชิงวิศวกรรมมีชื้อเรียกรวมกันไปว่าเป็น ดินถล่ม (landslide) หรือ หินถล่ม (rockslide)การ เครือนตัวของดินและหิน มีความแตกต่างทั้งขนาด ปริมาร และระดับลึกของการเคลือนตัว
รูปแบบของการวิบัติดิน
การคืบ การไหล การเลื่อนหลุดเป็นกะบิ การเลื่อนไถลตามระนาบ

การ คืบดิน (creep) เป็นมของมวลดิน (หรือหิน) ที่มีการเคลือนที่อย่างช้าๆ (น้อยกว่า 10 มม./ปี) ลงไปตามลาดเขาโดยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก ความชื้นในบรรยากาศและน้ําฝนเป็นตัวการ ที่สําคัญ ลักษณะนี้สังเกตุเห็นได้ในบริเวณที่มีการสะสมับถมบนลาดเชิงเขา ในรูปจะเห็นว่าตรงบริเวณ นั้นหลักที่ปักไว้ เสาโทรสาร หรือ ผนังกั้นดินเอนลงตามทิศทางการคีบของมวลดิน

การพังทลายของหิน
1.หินหล่น (Rock fall)
เป็น การหลุดออกจากชิ้นส่วนหิน ในลักษณะของชิ้นส่วนอิสระ เมื่อมีการผุพังหรือสึกกร่อน มักพบตามบริเวณหน้าผา หรือความลาดเอียงที่ชัน ตามปกติหินหล่นไม่จัดเป็นปรากฏการณ์หินถล่ม
2.การเลื่อนไถลของลานหินตีนผา (Scree Or Talus Slide )
เป็น การหักพังตามธรรมชาติของหินลงมากองอยู่ตีนผา(เป็นหินถล่มแบบหนึ่ง)ตัวการที่ มากระทํา เป็นกระบวนการทางกายภาพ หรือจากกิจกรรมที่มนุษย์ทําขึ้น ตัวอย่าง เช่น การทําการขุดเจาะหินบริเวญ ตีนเขาการระบายน้ําออกจากความลาดเอียงไม่เพียงพอ การเพิ่มความดันน้ําในมวลหิน ตัวการเหล่านี้ก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพของความลาดเอียงทั้งนั้น
3.การถล่มของหินอย่างรวดเร็ว (Rock avalanche )
เป็น การเลื่อนไถลของหินแบบหินถล่มลงมาจากที่ลาดชันอย่างรวดเร็ว ตามแรงโน้มถ่วงของโลก (อัตราความเร็วอาจถึง 320 กม./ชม.)ตามปกติเกิดเป็นมวลหินปริมาณมากมหาศาล และเลื่อนไถลเป็น ระยะทางไกล สามารถทําลายสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในทางผ่านได้


หินที่สนใจ


หินตะกอน (Sedimentary Rock)
หินตะกอน คือหินที่เกิดจากการแข็งตัวและอัดตัวของตะกอนเศษหินหรือสารละลายที่ถูกตัว กลางเช่นลมและน้ำพัดพามาและสะสมตัวบนที่ต่ำ ๆ ของผิวโลกหินตะกอนแบ่งเป็น 3 ชนิดตามลักษณะของเนื้อหิน คือ
1 หินตะกอนเนื้อประสม
หินตะกอนแตกหลุด หรือตะกอนเม็ด(Clastic sedimentary rock) หมายถึงหินตะกอนที่ประกอบ ด้วยอนุภาคที่แตกหลุดและพัดพามาจากที่อื่น ๆ เช่น
หินดินดาน(Shale) เป็นหินตะกอนแตกหลุดเนื้อละเอียด ประกอบด้วยอนุภาคตะกอนขนาดเล็กกว่า 1/256 มม มักแสดงลักษณะเป็นชั้นๆ ขนานกัน(bed) ประกอบด้วย แร่เขี้ยวหนุมาน แร่ไมก้า(mica) และแร่ดิน(clay mineral) เป็นส่วนใหญ่ขนาดของตะกอนเล็กเกินกว่าที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ในเมืองไทยพบอยู่ทั่วไปเช่นแถบจังหวัดชลบุรี นครศรีธรรมราช ยะลา และกาญจนบุรี และส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หินทราย(Sandstone) เป็นหินตะกอนแตกหลุดที่ประกอบด้วยอนุภาคตะกอนขนาดตั้งแต่ 1/16 - 2 มม (คือเท่าเม็ดทราย) เม็ดทรายมักมีลักษณะกลมแสดงถึงการกัดกร่อนและการพัดพา แร่เขี้ยวหนุ-มานเป็นแร่ที่พบบ่อยในหินแต่อาจมีแร่ฟันม้า แร่โกเมน (garnet) และแร่ไมก้าปะปนอยู่ด้วย บางครั้งแสดงลักษณะเป็นชั้น ๆ ชัดเจน สีแดง ๆของหินแสดงว่าหินมีตัวเชื่อมประสาน(Cement) เป็นพวกเหล็ก ในเมืองไทยพบแทบทุกจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ นครพนม และสกลนคร
หินกรวด(Conglomerate) เป็นหินตะกอนแตกหลุดที่ประกอบด้วยอนุภาคตะกอนขนาดใหญ่กว่า 2 มม (คือใหญ่เท่าเม็ดทราย)ที่ยึดเกาะกันแน่นอยู่ภายใน เนื้อหินที่ประกอบด้วยตะกอนทรายและทรายแป้ง (silt) เม็ดตะกอนมักมีลักษณะกลมมนและมีความคงทนสูง เช่นแร่เขี้ยวหนุมาน และหินควอทไซท์ แต่อาจจะประกอบด้วยหินปูนและหินแกรนิตได้ เมืองไทยพบไม่มากนักอาจมีบ้างเช่นที่จังหวัดกาญจนบุรี ระยอง และลพบุรี
2 หินตะกอนเคมี
หินตะกอนเคมี(Chemical หรือ Nonclastic sedimentary rock) หมายถึง หินตะกอนที่เกิดจากการตกผลึกจากสารละลายที่พัดพามาโดยน้ำ ณ อุณหภูมิต่ำเช่น
หิน ปูน(Limestone) เป็นหินตะกอนเคมีที่ประกอบด้วยผลึกแร่คัลไซท์(calcite) เป็นส่วนใหญ่ บางครั้งอาจมีซากบรรพชีวิน (fossils) อยู่ด้วย โดยมากแสดงลักษณะภูมิประเทศเป็นยอดเขาสูงผนังชั้นหลาย ๆ ยอดซ้อนกัน เนื่องจากได้รับอิทธิพลของการกัดเซาะและการละลายโดยน้ำ เมืองไทยพบมากแถบจังหวัดสระบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พังงา และชุมพร
หิน เกลือ(Rock Salt) เป็นหินตะกอนเคมีที่ประกอบด้วยผลึกแร่เกลือหิน(halite) โดยปกติมักมีเนื้อเนียน มีสีขาวใส หรือไม่มีสี แต่อาจมีสีต่าง ๆ ได้ เช่น สีส้ม เหลือง แดง เนื่องจากมีมลทินของสารจำพวกเหล็กปนอยู่เมืองไทยพบมากในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเช่น จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา และขอนแก่น
ถ่าน หิน(Coal) เป็นหินตะกอนอินทรีย์ สีดำ มันวาว ทึบแสงและไม่เป็นผลึก ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ที่อัดกันแน่นจนกลายเป็นสภาพหิน เมืองไทยที่พบมากเป็นถ่านหินขั้นต่ำ เช่น บริเวณแถบจังหวัดลำปาง กระบี่ แพร่ สงขลา และเลย